แข่งลูกหนูประเพณีคู่งานศพของชาวมอญ
ปัจจุบันการแข่งขัน ลูกหนู ได้กลายมาเป็นประเพณีของชาวมอญในจังหวัดปทุมธานีประเพณีหนึ่งซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ และน่าศึกษาเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้เป็นความเชื่อถือที่ถูกสืบทอดกันมาแต่โบราณ ในปัจจุบันจะหาชมได้ยากยิ่ง เพราะประเพณีนี้จะมีขึ้นก็เฉพาะในงานฌาปนกิจศพของพระสงฆ์ระดับสมภาร หรือเจ้าอาวาสขึ้นไปเท่านั้น
พระที่มรณภาพไปแล้วนั้นโดยทั่วไปชาวมอญจะไม่นิยมฌาปนกิจสด โดยมากจะต้องเก็บเก็บศพไว้รอจนถึงราวประมาณเดือน 4 หรือเดือน 5 ซึ่งเป็นช่วงหน้าแล้งและจะมีญาติโยมว่างเว้นงานจากไร่ นากันมาก ทางวัดก็จะแจ้งข่าวและจัดเตรียมงานฌาปนกิจศพทันทีโดยในงานจะประกอบด้วย มหรสพต่างๆ ในตอนกลางคืนส่วนในตอนกลางวันเมื่อตะวันบ่าย จะมีการจัดแข่งขันจุดลูกหนู ให้พุ่งไปสู่เป้าหมายและมีรางวัลซึ่งวัดต่างๆในเขตหมู่บ้าน อำเภอใกล้เคียงก็จะพากันระดมกำลังช่างฝีมือมาจัดทำลูกหนุ เพื่อเข้าร่วมพิธี และแข่งขันชิงรางวัลเกียรติยศนี้ แม้ในการทำลูกหนูในแต่ละครั้งจะยากเย็น และต้องใช้ความชำนาญสูงสักเพียงใดทุกคณะก็ไม่หวั่น ขอให้ได้เข้าร่วมงานด้วยเป็นพอ การเรียกชื่อคณะจะนิยมเรียกชื่อตามสายของวัดที่จัดทำมาร่วมงานเช่น คณะลูกหนูวัดกร่าง คณะลูกหนูวัดป่างิ้ว คณะลูกหนูวัดบางเตย คณะลูกหนูวัดดอกไม้ คณะลูกหนูวัดปทุมทอง คณะลูกหนูวัดโบสถ์ คณะลูกหนูวัดน้ำวน คณะลูกหนูวัดจันทน์กะพ้อ ฯลฯ เป็นต้น
วิธีการทำลูกหนู
ตั้งแต่สมัยโบราณมาจะนิยมใช้ไม้ไผ่สีสุกทำเป็นตัวกระบอกโดยจะต้องมีการคัดเลือกไม้ไผ่ที่ได้ขนาดตามสูตร คือจะมีความยาว ประมาณ 1-2 ปล้อง และมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 เซนติเมตรนำมาตัดเก็บข้อหัวท้ายไว้ ต่อๆ มาระยะหลังมีการดัดแปลงกระบอกเป็นการใช้ไม้มะม่วงนำมากลึงเป็นท่อนยาวประมาณ 60-70 เซนติเมตรเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10-15เซนติเมตร หัวท้ายจะกลึงให้เรียวมนทำให้พุ่งดี และแม่นยำ มีน้ำหนักดีจะนำเอาไม้กลึงหรือไม้ไผ่ดังกล่าวนี้มาเจาะให้ทะลุเพื่ออัดดินปืน หรือดินขับ ซึ่งมีส่วนผสมของ ดินประสิว, ถ่าน , กำมะถัน , และจะใช้ดินเหนียวซึ่งได้มาจากจอมปลวกที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นดินทนความร้อนสูงนี้มาอุดปิดส่วนหัว-ท้าย การอัดบรรจุดินปืนตามสูตรนิยมใส่ดินปืนที่ผสมเสร็จแล้ว 1ช้อนแกง แล้วตอกอัดให้แน่น 100ที แล้วเติมดินปืนเท่าเดิมจนเต็มกระบอกลูกหนู จึงใช้ดินเหนียวปิดท้ายให้แน่น หัวท้ายจะรัดด้วยปลอกเหล็ก ปัจจุบันมีบางคณะไม่สะใจทดลองใช้กระบอกเหล็กทำแกนไส้ แต่มีข้อจำกัดว่ามีอันตรายสูงมากกว่าไม้ ภายหลังจึงห้ามทำและหมดความนิยมไป
การตกแต่ง
จะต้องมีการตกแต่งลูกหนูทุกลูกที่ทำเสร็จแล้ว เพื่อให้ดูสวยงาม แลเพื่อเป็นคะแนนในการแห่ประกวดกันด้วยโดยจะมีการประดับประดาตัวลูกหนูด้วยการทาสีสลับลวดลายและใช้กระดาษสีต่างๆ ตัดเป็นลายเป็นริ้วติดประดับตกแต่งอย่างสวยงาม คณะหนึ่งๆ ต้องทำลูกหนูมาเข้าร่วมแข่งขันด้วยอย่างน้อย 12-14 ลูก
การเตรียมการแข่งขัน
ก่อนการแข่งขันแต่ละคณะจะต้องส่งตัวแทนไปจับฉลาก เพื่อจัดและกำหนดสายวิ่งเรียงตามลำดับ แล้วจึงนำสายลูกหนู ซึ่งทำด้วยลวดสลิงยาวประมาณ 100เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ไปขึงเป็นสายวิ่ง สายวิ่งนี้โบราณจะใช้หนังควายถัก แต่ไม่ทนเท่าลวดสลิง จากนั้นจะทำการตั้งขาหยั่ง 3 ขา หรือ 1 ขาก็ตาม ดันสายให้สูงจากพื้นประมาณ 5 เมตร ปลายสายทางด้านเมรุปราสาทจำลองซึ่งเป็นเป้าหมายนั้นต้องลดลงต่ำลงโดยจะมีเขื่อนเป็นท่อนไม้ขวางอยู่หน้าเมรุให้สายลอดลงใต้เขื่อนทุกสายจะไปรวมกันที่จุดสุดท้ายคือเขื่อนที่ต้นสายนั้นให้แยกกระจายสายออกห่างกันประมาณสายละ 5 เมตร เพื่อสะดวกในการนำลูกหนูขึ้นลง หรือการติดตั้งลูกหนู จุดยิงหรือจุดปล่อยลูกหนูจะอยู่ค่อนไปตรงกลางสายซึ่งจะห่างจากจุดเป้าหมายที่เป็นเขื่อนประมาณ 40 เมตร
การแห่ลูกหนู
วัดที่มีงานนี้จะมีผู้คนไปร่วมงานมากมาย ล่าสุดผู้เขียนไปร่วมงานที่วัดบ้านพร้าวนอก เห็นคนมากมายล้นหลามรถติดยาวกว่า 3 กิโลเมตร สังเกตเห็นว่าทางวัดจะมีอาหารคาว หวาน โดยจะตั้งเป็นโรงทาน เพื่อเลี้ยงกัน เห็นมีข้าวต้ม ข้าวผัด ข้าวแกง ขนมข้าวตอกน้ำกะทิ ลอดช่อง น้ำแข็ง น้ำชา ฯลฯ ซึ่งคณะจากวัดต่างๆ จัดมาร่วมนั่นเองส่วนพวกขบวนแห่จะแต่งกายเป็นแบบแฟนซีหลากสีสวยสดงดงามมีทั้งประเภทวัฒนธรรมความคิด สวยงาม และตลก ก็แล้วแต่ละคณะที่พร้อมจะจัดขบวนมาร่วมแห่ มีเถิดเทิงกลองยาวตีประโคมอย่างสนุกสนานนำขบวนโดยคนถือป้ายบอกชื่อคณะลูกหนูเดินพร้อมมีเสียงโห่ แห่ไปรอบเมรุจริงที่ตั้งศพพระกลางลานวัด แห่วน 3 รอบ เป็นการเคารพศพ จากนั้นจึงแห่ไปยังลานแข่งขันลูกหนู ซึ่งมักจะจัดไว้ห่างออกไปหรือในทุ่งนา ที่โล่งแจ้งห่างบ้านเรือน แล้วนำลูกหนูขึ้นสายตามที่จับฉลากได้ตามลำดับ
ลูกหนู ก่อนทำเป็นรูป เรียก กระบอก เมื่อทำเสร็จตกแต่งแล้ว เรียกเป็น ตัว และเมื่อ ขึ้นสายพร้อมจุดชนวน เรียก สาย (ผู้เขียนเข้าใจเอง)
กฎ กติกา มารยาท ในการแข่งขัน
ทางวัดจะจัดตั้งเมรุจำลอง มีปราสาทยอดแหลมครอบเมรุที่ตั้งศพไว้กลางทุ่งเป็นเป้าหมาย ให้เห็นเด่นชัดสูงตระหง่าน เมื่อคณะลูกหนูสายต่างๆ เข้าประจำที่ตามสายของตนแล้วจะลดขาหยั่งเพื่อเอาสายลงมานำลูกหนูติดสายชนวนและผูกลูกหนูติดกับลวดสลิง โดยจะใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกประกบกับสายสลิงให้เป็นท่อแล้วมัดหัวท้ายให้แน่นด้วยตอก จึงชักลูกหนูขึ้นรอกขาหยั่งประจำที่เดิม เตรียมการจุดลูกหนูด้วยคบไฟ โดยจะรอดูสัญญาณจากคณะกรรมการซึ่งจะใช้วิธีชักธงแดงขึ้นเสาเพื่อบอกสัญญาณเริ่มแข่งขัน
ลูกหนูเมื่อถูกจุดจะวิ่งไปตามสายเมื่อพุ่งไปถึงเขื่อน ลูกหนูจะหลุดจากสายและเหวี่ยงตัวกระเด็นไปด้วยความเร็ว ไปยังตัวปราสาทที่ตั้งไว้ ถ้าลูกหนูสายใดเหวี่ยงตัวไปถูกยอดปราสาทก็จะชนะที่ 1แต่ถ้าเป็นส่วนอื่นๆ ก็จะมีรางวัลให้ลดหลั่นกันไป ทำเช่นนี้จนกว่าลูกหนูจะหมดสายทุกสายหรือปราสาทจำลองพังลงมาจึงจะยุติการแข่งขัน
สรุป
ผู้เขียนสันนิษฐานว่า แต่เดิมมานั้นในการจัดงานฌาปนกิจศพพระสงฆ์ระดับสมภารหรือเจ้าอาวาสของชาวมอญนั้น ก็จะมีพิธีการใหญ่โตทำกันอยู่แล้ว คือจะนำเอาศพพระใส่โลงพิเศษทรงดอกผักบุ้ง หรือ “กาวุ้น” จะมีลักษณะด้านล่างเล็กส่วนบนผายออกเหมือนดอกผักบุ้ง ประดับประดาด้วยดอกไม้ ลายฉลุสวยงาม ฝาโลงทำเป็นยอดปราสาท 3 ยอด หรือ 5 ยอด ชาวมอญเรียก
“เมรุปราสาท” ซึ่งในการจุดไฟเพื่อทำการฌาปนกิจศพนั้นแต่เดิมใช้ชนวนไฟดินปืน วิ่งไปตามสายที่ขึงไว้ตรงไปยังแท่นปราสาท คล้ายชนวนฟักแค ด้วยชาวมอญโบราณถือว่าศพของพระจะไม่จุดไฟฌาปนกิจศพอย่างศพคนธรรมดา เชื่อว่าต่อมาภายหลังวิธีการจุดไฟแบบชนวนเป็นกระบอกไฟ พัฒนาเป็นลูกหนู ทำด้วยกระบอกไม้ไผ่ หรือไม้กลึงวิ่งไปตามสาย จนกลายมาเป็นประเพณีที่ยึดถือว่าเป็นการแข่งขันกันเพื่อความสนุกสนาน จุดมุ่งหมายเดิมก็เปลี่ยนไปเป็นด้วยการพุ่งไปทำลายเป้าหมายที่เมรุปราสาทจำลอง
ปัจจุบัน ลูกหนู กลายมาเป็นกิจกรรมเพื่อความสนุกสนาน และเป็นการแข่งขันกันของคณะวัดต่างๆ ไปเสียแล้ว ท่ามกลางเสียงดัง แซ็ด ๆ หวีดหวิว แหวกอากาศไปด้วยพลังไอพ่นอย่างรวดเร็วดังจรวดก็ไม่ปาน และท่ามกลางควันไฟ เขม่าดินปืนที่คละคลุ้งไปทั่วลานแข่งขันนั้น ผู้คนที่มาร่วมงานทั่วทุกสารทิศต่างก็ได้ซึมซับเอาวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม อย่างหนึ่งไปด้วยโดยไม่รู้ตัว พร้อมๆ กับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความรัก ความสามัคคี ร่วมมือกันทำงานเป็นหมู่คณะ ความมีน้ำใจให้กัน มีความโอบอ้อมอารีมีเมตตาต่อกัน และเมื่อเสร็จงานต่างก็แยกย้ายจากกันไปด้วยจิตใจที่อิ่มเอมกับการที่ได้มาร่วมงานบุญนี้
(ข้อมูลจาก ชมรมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม ชั้น 2 อาคารปัทมา โรงเรียนคณะราษฎร์บำรุงปทุมธานี)